บทที่ 3 3
“ข้าจะทำตามพระบัญชา พวกเจ้าไปหยิบผ้าลายดอกบัวผืนนั้นมา” นางสั่งเสียงต่ำแต่หนักแน่น นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามที่ฉินซือเฉิงต้องการ เพราะถ้าหากนางไม่ทำ เขาก็ต้องหาเรื่องอื่นมากลั่นแกล้งนางอยู่ดี เกือบหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมา นางถูกเขาทำร้ายจิตใจนับไม่ถ้วน
ตอนนั้นนางต้องการนำรังนกไปให้แต่พอเขาเห็นหน้านางเท่านั้น ก็ทำหน้าบึ้ง พอนางเข้าไปใกล้ก็ผลักนางล้มจนกระดูกเคลื่อนเพราะอารมณ์เสียมาจากขุนนางใหญ่ในการประชุมที่ท้องพระโรง นางเจ็บจนต้องอยู่แต่ภายในตำหนักถึงหนึ่งเดือนแต่เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมสักครั้ง หรือบางครั้งก็ตำหนินางในเรื่องไม่เป็นเรื่องต่อหน้าสนมนางใน แต่ทุกครั้งนางก็อดทนได้เสมอมา
ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยค่อยๆ เดินนำผ้าลายดอกบัวมาเปลี่ยนให้นางอย่างเชื่องช้า จางชิงหลินมองภาพตัวเองในกระจกแล้วหัวใจร้าวราน สวามีที่นางรักเทิดทูนกลับต้องการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีนางต่อหน้าสนมคนโปรด นางก็จะทำให้สมใจเขา
จางชิงหลินรู้ว่าอีกไม่ช้าตำแหน่งฮองเฮาคงหลุดลอยไปจากนาง แต่นางไม่สนใจจะยื้อไว้อีกแล้ว ความจริงนางต้องการแค่ความรักจากสวามีแต่เหมือนสิ่งนั้นจะหาไม่ได้ในตัวของฉินซือเฉิงแม้แต่น้อย
นางก้าวเยื้องย่างออกไปยืนหน้าลานตำหนักด้วยท่วงท่าราวนางพญา ทุกอิริยาบถแช่มช้อย ไม่มีหลุดท่าทางหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกให้บ่าวไพร่ที่รอชมเรื่องสนุกได้เห็น
ใต้ต้นท้อที่กำลังผลิดอกสีสวยมีร่างของจางชิงหลินยืนเศร้าอยู่
เซียวลี่อินมองร่างอรชรที่ยืนตากหิมะตัวหนาวสั่นด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนเข้าวังนางเคยเป็นสาวใช้ของจางชิงหลินพอเข้าวังมา จางชิงหลินก็พานางมาด้วย และในคืนวันเข้าหอ โอรสสวรรค์ได้ยินเสียงนางขับร้องเพื่ออวยพรให้ก็เกิดพึงใจจนขอนางไปเป็นสนมและร่วมอภิรมย์กับนางในวันเข้าหอแทนที่จะเป็นฮองเฮานั่นเอง
‘สะใจข้าน้อยยิ่งนักคุณหนู ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจต้องเหี้ยม ข้าอยากเป็นฮองเฮาไม่กำจัดท่านแล้วจะขึ้นไปได้อย่างไร’
โอรสสวรรค์ผู้มักมากในกาม ชอบความตื่นเต้นในกามรส ยกร่างนางสนมคนโปรดขึ้นนั่งบนตัก ภาพทุกอย่างอยู่ในสายตาของจางชิงหลิน นางปวดใจจนทนดูอีกไม่ได้จึงจะวิ่งหนีไป
“ฮองเฮาจะไปไหนเพคะ” เซียวลี่อินผละจากอ้อมกอดโอรสสวรรค์แล้วร้องเรียก “หม่อมฉันกับฝ่าบาทยังไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์งดงามนี้เลย ดูสิเพคะเวลาฮองเฮายืนตากหิมะเป็นภาพที่งดงามจนหม่อมฉันไม่อาจเบือนสายตาไปมองสิ่งอื่น”
“ชิงหลินเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ยืนอยู่ที่เดิมถ้าไม่มีคำสั่งเราห้ามไปไหนเด็ดขาด”
“แต่ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาทรงหนาวมากแล้วนะเพคะ” ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยรวบรวมความกล้าหาญเข้าไปทูล พวกนางมองเห็นฮองเฮายืนกอดอกตัวสั่นระริก มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
กลีบดอกไม้ที่แสนบอบบางเพียงนั้นจะต้านทานสายลมหนาวได้อย่างไร
“ใครใช้ให้พวกเจ้าเสนอหน้ามาพูดกับข้า นางบ่าวชั้นต่ำ ทหารอยู่ที่ไหน จับตัวนางกำนัลสองคนนี้ไปประหาร”
จางชิงหลินได้ยินชัดเจนก็รีบโผไปห้าม “อย่าทำร้ายคนของหม่อมฉัน จะให้หม่อมฉันยืนอยู่ทั้งคืนก็ได้แต่อย่าทำร้ายพวกนาง”
เซียวลี่อินยิ้มเยาะ เพราะจางชิงหลินใจอ่อนแบบนี้ถึงได้มีจุดจบแบบนี้ นางคงไม่รู้ว่าพรุ่งนี้นางจะไม่เหลือแม้แต่คนในครอบครัวอีกแล้ว
“ฝ่าบาทเพคะแค่สั่งโบยก็พอ อย่าให้เรื่องของนางกำนัลไร้ค่ามาทำให้หมดความสำราญเลยเพคะ”
“ทำตามที่เซียวกุ้ยเฟยสั่ง ทหารนำตัวนางกำนัลสองคนนี้ไปโบยคนละยี่สิบไม้”
ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยถูกผ้ายัดปาก ลากตัวออกไปแล้ว จางชิงหลินมองตามด้วยความโกรธแค้นที่พระสวามีของนางกับอดีตนางกำนัลของนางช่างใจร้าย เลือดเย็นยิ่งนัก นางกำมือแน่น กลับไปยืนนิ่งที่เดิมด้วยท่าทางมั่นคง เชิดหน้าขึ้นอย่างนางพญา
เซียวลี่อินมองด้วยความโมโห อีกฝ่ายยังเชิดหน้าชูคอใส่นางอย่างท้าทาย แต่เอาเถอะ อีกแค่วันเดียวเท่านั้น ฮองเฮาผู้เคยมีทุกอย่างก็จะตกจากบัลลังก์หงส์กลายเป็นแค่เศษธุลีดินภายในวันพรุ่งนี้แล้ว
วันต่อมา
ภายในตำหนักเฉียนชิง
ฉินซือเฉิงเป็นจักรพรรดิที่อยู่ในช่วงบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ความสงบจากการต่อสู้กับชนเผ่าต่างๆ กระนั้นบ้านเมืองก็ยังไม่รุ่งเรือง เฟื่องฟูมากนักเพราะฉินซือเฉิงไม่ได้คิดทำการสิ่งใดเพิ่มเติม จักรพรรดิที่ได้มาเพราะโชคช่วยใช้ระบบการปกครองแบบมีมุขมนตรี คือมีเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงร่วมบริหาร และด้วยความที่เป็นองค์ชายนอกสายตาที่จู่ๆได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเพราะองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยโรคฝีดาษทำให้ไร้ฐานอำนาจ พระองค์เบื่อการออกว่าราชการที่เหล่าขุนนางวันๆ หาแต่เรื่องปวดหัว ความเดือดร้อนของราษฏรมารายงาน
“วันๆมีแต่เรื่อง ข้าไม่คิดเลยว่าชีวิตฮ่องเต้จะน่าเบื่อสิ้นดี”
ฉินซือเฉิงมองบันทึกลับในกล่องไม้จันทร์แดงงดงามเลอค่าปกของสมุดราวจะทำด้วยทองคำแต่สัมผัสดูจึงรู้ว่าเป็นผ้าไหมซึ่งถักทอด้วยฝีมือของ ‘ฮองเฮาหนิงซูเยว่’ ฮองเฮาในองค์ ‘จักรพรรดิหยางจื่อ’ บันทึกเล่มนี้เป็นบันทึกที่ฮ่องเต้แต่ละพระองค์จะเขียนเรื่องราวในยุคของตนลงไปสมทบต่อๆ กัน
ฉินซือเฉิงหยิบขึ้นมาพลิกดูผ่านๆ “หนาขนาดนี้ ข้าไม่มีเวลาอ่านหรอกเอาไปเก็บไว้ตามเดิม” ฉินซือเฉิงสะบัดชายแขนเสื้อพลิ้วไหวจะยื่นให้คังกงกงนำไปเก็บที่เดิม ทว่าพระเนตรแวววาวขึ้นเมื่อเห็นร่างกำยำของฉินจิ้นเหอเดินเข้ามา
ฉินจิ้นเหอค้อมกายกำยำเพื่อทำความเคารพ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
ฉินซือเฉิงกลับโยนบันทึกลับให้ฉินจิ้นเหอ “น้องเก้าเจ้ามันหนอนตำราเอาบันทึกลับไปอ่าน แล้วมารายงานให้ข้าฟัง”
‘เอาเวลาอ่านบันทึกของอดีตฮ่องเต้ สู้เอาเวลาไปหาเหล่าสนมในวังหลัง สำราญกว่าตั้งเยอะ’ ฉินซือเฉิงคิดในใจ
